Tuesday 20 May 2014

'' จัดฟัน '' คืออะไร เมื่อไหร่ถึงควรจัดฟัน

       การจัดฟันกำลังได้รับความนิยมในสังคมเราเป็นอย่างมาก ซึ่งเหตุผลในการจัดฟันของแต่ละคนนั้นแตกต่างกันออกไป หลายคนอาจกำลังมีข้อสังสย หรือลังเลว่าเราสมควรได้รับการจัดฟันหรือไม่ วันนี้ผมได้รวบรวมเรื่องราวเกี่ยวกับการจัดฟันไว้ เราไปดูกันเลยครับ




ควรเริ่มวางแผนตั้งแต่เมื่อใหร่ดี ?

   สถาบันด้านการจัดฟันของอเมริกาแนะนำว่า เด็กควรได้รับการตรวจฟันครั้งแรกตอนอายุ 7 ปี แม้เด็กในวัยนี้จะยังไม่เหมาะต่อการจัดฟัน แต่อย่างน้อยก็เป็นการวางแผนแต่เนิ่นๆ เพราะบางปัญหาอาจสามารถแก้ไขได้เลย ก่อนที่จะกลายเป็นปัญหาใหญ่ในอนาคต


 ปัญหาการสบฟัน

การสบฟัน คือลักษณะของฟันบนและฟันล่างขณะกัดหรือบดเคี้ยว แบ่งออกเป็น 3 ลักษณะใหญ่ๆ ได้แก่
  • ปกติ
  • ฟันด้านบนยื่นออกมามากกว่าฟันล่างมากกว่าปกติ (Over bite)
  • ฟันล่างยื่นออกมาใกล้กับฟันบนมากกว่าปกติ จนอาจคร่อมฟันบน (Under bite)
หากปล่อยให้ฟันจัดเรียงอย่างไม่เหมาะสมก็อาจจะนำมาสู่อาการต่อไปนี้ได้
  • มีอุปสรรคในการพูด
  • ปวดกราม
  • มีอาการเคี้ยวหรือกลืนลำบาก
  • ภาวะการหยุดหายใจขณะนอนหลับ ซึ่งเกิดจากการกรนและการหายใจทางปาก
  • มีอาการกัดฟัน
  • โรคเหงือกและฟันผุ
    ดังนั้นหากตนเองเริ่มมีปัญหาดังกล่าวควรปรึกษาทันตแพทย์เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง และแก้ไขได้อย่างตรงจุด 

ประเภทของการจัดฟัน

1. จัดฟันแบบโลหะ ด้านนอก คือ การจัดฟันด้วยเครื่องมือจัดฟันแบบโลหะ ติดไว้ที่ผิวฟันด้านหน้า แล้วใส่ลวดผ่านเครื่องมือเหล่านี้ เพื่อทำการจัดเรียงฟัน วิธีนี้เป็นที่นิยมมากที่สุด โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่น เนื่องจากเราสามารถเลือกยาง หลากหลายสีสัน อีกทั้งยังง่ายต่อการทำความสะอาด

2. จัดฟันแบบด้านใน  เป็นวิธีการจัดฟันโดยติดเครื่องมือไว้ด้านหลังฟัน ทำให้ไม่ทำลายผิวฟันด้านนอก และไม่สามารถมองเห็นได้จากด้านนอก ดังนั้นวิธีนี้จึงเหมาะสำหรับคนที่ไม่ต้องการให้เห็นเครื่องมือจัดฟัน แต่มีข้อเสียตรงที่ว่าเครื่องมือจัดฟันด้านในอาจหลุดบ่อยและมีอาการระคาย เคืองต่อลิ้นในช่วง 1-2 สัปดาห์แรก ทั้งยังมีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูงกว่าการจัดฟันแบบอื่นอีกด้วย 

3. จัดฟันแบบสีเหมือนฟัน วิธีนี้คล้ายกับการจัดฟันแบบโลหะ ด้านนอก แต่จะใช้เซรามิคที่มีสีใสและยางใสมาเป็นส่วนประกอบ ทำให้ไม่สามารถมองเห็นได้ชัดนัก ซึ่งวิธีนี้เหมาะกับผู้ที่ต้องการจัดฟัน แต่ไม่อยากให้เห็นเหล็กดัดฟันชัดจนเกินไป


4. จัดฟันแบบโลหะกึ่งใส (DAMON)เป็นวิธีการจัดฟันที่มีการพัฒนามาจากการจัดฟันแบบโลหะ เพียงแต่จะมีการปรับเปลี่ยนเป็นการใช้เครื่องมือยึดติดกับหน้าฟันที่มีขนาดเล็กและมีประสิทธิภาพมากกว่าการใช้ Bracket และยางรัด ทั้งนี้การจัดฟันแบบโลหะกึ่งใสจะช่วยลดแรงต้านทานและการเสียดสีของฟัน เสริมประสิทธิภาพของการจัดฟันได้ดียิ่งขึ้น เหมาะสำหรับคนที่ต้องการจัดฟันในระยะที่รวดเร็วและไม่สะดวกในการมาพบ ทันตแพทย์บ่อยครั้ง แต่จะมีค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นกว่าแบบปกติ


5. จัดฟันแบบใส คือ การใช้ชุดเครื่องมือจัดฟันที่ถูกผลิตขึ้นมาเฉพาะบุคคล ซึ่งจะมีความโปร่งใสและสามารถถอดเข้า-ออกได้ง่าย (ลักษณะคล้ายกับการครอบเข้าไปที่ฟัน) โดยไม่ต้องยึดติดกับวัสดุใด ๆ ที่ฟัน เพียงสวมใส่ชุดเครื่องมือจัดฟันไว้ตลอดเวลา แล้วถอดออกเมื่อแปรงฟันหรือรับประทานอาหาร จะช่วยทำให้ฟันเรียงตัวสวยอย่างเป็นธรรมชาติ ทั้งยังช่วยลดปัญหาฟันผุและดูแลรักษาได้ง่าย จึงเหมาะสำหรับคนที่ไม่ต้องการให้ผู้อื่นเห็นเครื่องมือจัดฟันและคนที่ต้อง การความสะดวกสบายในการจัดฟัน

     การมีฟันและเหงือกที่แข็งแรง สามารถช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับเราได้ ดังนั้นอย่าลืมดูแลสุขภาพช่องปากของตนเอง และหาโอกาสไปพบทันตแพทย์เพื่อตรวจฟันอย่างน้อยปีละ 2 ครั้งด้วยนะครับ

No comments:

Post a Comment